เศรษฐกิจ มัลดีฟส์
โครงสร้างทางเศรษฐกิจของมัลดีฟมีการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลัก
โดยมีสัดส่วน 28%
ของ GDP และเมื่อรวมธุรกิจบริการอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องโดยตรงและโดยอ้อมด้วยแล้ว ภาคบริการมีสัดส่วนถึง 77% ของ GDP ปัจจุบันกว่า
60% ของรายได้ประเทศมาจากการท่องเที่ยว มัลดีฟมีรีสอร์ตมากกว่า
87 แห่ง และมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 5 ล้านคนไปเยือนมัลดีฟในปี 2550
ทั้งนี้เกือบทุกเดือนจะมีรีสอร์ตแห่งใหม่เกิดขึ้นเสมอ ภายหลังเหตุการณ์สึนามิ มัลดีฟส์ได้รับผลกระทบอย่างมาก
เป็นผลให้นักท่องเที่ยวลดลงกว่าร้อยละ 25 และสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล มัลดีฟส์จึงระดมทุนจากนานาประเทศเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยว และจัดกิจกรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาสู่มัลดีฟส์ สำหรับประมงและการเกษตร
ซึ่งมีสัดส่วน 16%
ของ GDP
เริ่มมีความสำคัญน้อยลงเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านพื้นที่ทางการเกษตรและแรงงานมีน้อย (แต่เป็นแรงงานที่มีคุณภาพและการศึกษาสูง)
อย่างไรก็ตามมัลดีฟยังคงเป็นประเทศผู้ส่งออกทูน่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ส่วนในด้านสินค้าอาหารส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนเพียง 7% โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้า
การต่อเรือขนาดเล็กและ สินค้าหัตถกรรม
ในปี 2543
รัฐบาลมัลดีฟได้เริ่มมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการยกเลิกโควตาการนำเข้าและเปิดเสรีการส่งออกให้เอกชนสามารถดำเนินการได้ในบางสาขา และในเวลาต่อมาก็ได้มีการลดข้อจำกัดด้านการค้าการลงทุนลงไปมาก
ส่งผลให้มีการไหลเข้าของการลงทุนจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของมัลดีฟในปี 2550 มีมูลค่า 1,049 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเฉลี่ย 7.5% ต่อปี รายได้ต่อหัวของมัลดีฟสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียใต้
โดยมีรายได้ประมาณ 3,040 เหรียญ/คน/ปี
จุดแข็งของการท่องเที่ยวของมัลดีฟคือธรรมชาติที่ยังบริสุทธิอยู่มาก
มีชายหาดขาว น้ำทะเลสีฟ้าครามใสสะอาดที่พบเห็นทั่วไปทุกหมู่เกาะ และยังมีแนวปะการังที่ยาวและสวยงามติดอันดับโลก
เป็นที่สนใจแก่ผู้รักการว่ายน้ำ สายลม แสงแดด การดำน้ำ การพักผ่อนทั้งครอบครัว
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฮันนีมูน
นักท่องเที่ยวของมัลดีฟเป็นนักท่องเที่ยวระดับบนเป็นส่วนมาก
โดยส่วนใหญ่มาจากยุโรปและเอเชีย สัญชาตินักท่องเที่ยวจากยุโรปที่สำคัญคือ อิตาลี
ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ ขณะที่นักท่องเที่ยวจากเอเชีย
ส่วนใหญ่จะเป็น ญี่ปุ่น ฮ่องกง และจีน ปัจจุบันมัลดีฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก
มีโรงแรมดังๆ จากทั่วโลกมาเปิดให้บริการแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Hilton, Four Seasons, Club
Med, One & Only อีกทั้งสถาบันการเงินชั้นนำของโลก
ก็ได้ไปเปิดให้บริการแล้วเช่นกัน เช่น ธนาคาร Hong-Kong and Shanghai เป็นต้น
การค้าระหว่างประเทศ
มูลค่าส่งออกปี
2550 : 167 ล้านเหรียญสหรัฐ
สินค้าส่งออกสำคัญ มีชนิดเดียวคือ ปลา
โดยเฉพาะปลาทูนา
ตลาดส่งออกสำคัญ
ได้แก่
ประเทศไทย 50% ศรีลังกา 15% อังกฤษ 11.5%
ฝรั่งเศส 8.4% อัลจีเรีย 7.8% และญี่ปุ่น6.1%
มูลค่าการนำเข้าปี
2550: 940 ล้านเหรียญสหรัฐ
สินค้านำเข้าสำคัญ
ได้แก่
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เรือขนาดใหญ่ ผลิตภัณฑ์อาหาร เสื้อผ้า สินคาอุปโภคบริโภค สินค้ากึ่งสำเร็จรูปและสินค้าทุน
แหล่งนำเข้าสำคัญ
ได้แก่
สิงคโปร์ 22.7%,
UAE 15.5%, อินเดีย 11.2%, มาเลเซีย 10.8%,
ศรีลังกา 5.7%, และประเทศไทย5.3%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น